สกุ๊ปเรื่องเล่าจากวัดไผ่ล้อม 17 ปีกับการอยู่ในคุกอดีตนักโทษยาเสพติด
พระพิเชษฐ์ อนุรักโข (พระโอ)พระวัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตอนเริ่มติดคุกเลยก็อายุยังน้อยเหมือนกับว่าโตในคุกโยมแม่บอกโหโตในคุกแท้แท้เลยเพราะเข้าคุกตั้งแต่. เริ่มเข้าคุกครั้งแรกตั้งแต่อายุ 17แล้ว
ก้าวแรกที่หลงผิดติดกับดัก ….ยาเสพติด
จุดที่เราเข้าไปหา ยาเสพติดก็คือต้องการคบเพื่อนต้องการมีโลกส่วนตัวกับเพื่อนไม่สนใจครอบครัวไม่สนใจว่าผู้ใหญ่จะมองยังไงคือเราอยู่ในโลกของเราโลกของเรามีแต่เพื่อนอย่างเดียวเท่านั้นตอนนั้น
นางบุษบา บัวใหญ่รักษา (โยมแม่พระโอ) บอกว่า เคยถามเขาตรงๆถามเขาเลยว่า ลูก สิ่งที่มันไม่น่าที่จะ จะใช่สำหรับเรา. ไม่สมควรลองนะ อย่าไปคิดอย่าไปลองนะ เขาก็ตอบแม่มาว่าเขาอยู่กับเพื่อน เพื่อนให้ลอง มีอะไรเขาก็ลองหมดแหละ เขาลองได้ แต่ถามว่าเขาติดมั้ย เขาบอกว่าเขาไม่ติด เขาพูดกับแม่อย่างนี้ เขาพูดกับแม่อย่างนี้ว่า เขาไม่ติด แม่ก็ถามเขาว่ามั่นใจนะ สิ่งที่เราลองเนี่ย มันบ่อยๆครั้ง ชีวิตมันจะเสียนะถ้าอนาคตเสียคือมันจบหมดเลยนะลูกนะ เพราะว่าแม่กับพ่อก็แยกกันอยู่ แล้วพ่อเค้าจะคิดยังไงเค้าจะคิดว่าแม่ดูแลลูกไม่ได้ เพราะขณะนี้คำพูดของพ่อเขาแม่ก็ยังจำไม่ลืมนะ เลี้ยงลูกไม่พ้นคุกผลตารางอยู่อย่างนี้แม่ไม่ลืมหรอกค่ะคำนี้
แล้วจากผู้เสพก็มาเป็นผู้ค้า. จนกระทั่ง ถูกศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต!!!
ด้านพระโอยังกล่าวอีกว่า ถูกศาลจำคุกตลอดชีวิต ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ก็ตอนแรกก็งงๆนะ ยืนงง ฟังเหมือนหูอื้อ คิดในใจว่าแล้วจะได้ออกมาเมื่อไหร่ จำคุกตลอดชีวิต โยมแม่ก็ฟังศาลท่านพูดไม่ทันหรอก โยมแม่ก็มาถามพระว่าศาลท่านตัดสินว่ายังไง ในตอนนั้นพระก็ไม่รู้จะตอบโยมแม่ยังไงจะตอบเลยว่า ตัดสินมาตลอดชีวิตเลยก็กลัวว่าท่านจะรับไม่ได้ แต่ก็ต้องตอบท่านตามตรงอยู่ดี ว่าตัดสินมาตลอดชีวิต และอีกสามเดือนลูกก็จะคลอดแล้วแต่พระถูกจับเสียก่อน และก็ไม่เคยเห็นหน้าลูกเลย จนลูกอายุได้4ขวบโยมแม่พามาเยี่ยมที่เรือนจำ โกหกลูกว่าพ่อมาทำงาน ลูกถามว่าพ่อจะกลับเมื่อไหร่ ทำไมพ่อถึงไม่กลับบ้าน ก็บอกว่าพ่อยังไม่เสร็จงานลูกเดี๋ยวโตขึ้นอีกหน่อยหนูก็รู้เอง ว่าพ่อจะต้องกลับบ้านเมื่อไหร่ จนเขาโตมาเขาอยู่ชั้นมัธยม 1 แล้วเขาก็ถามอีกว่าพ่อจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ แต่เขารู้แล้ว เขาเริ่มรู้แล้วว่า เราเนี่ยเป็นยังไงเราถูกจับอยู่ ก็เลยโกหกลูกไปว่าเดี๋ยวลูกขึ้นม.3เมื่อไหร่พ่อก็ได้กลับบ้านแล้ว จนเค้าเรียนอยู่ปวช.ปี2 แล้ว พระพึ่งจะได้กลับออกมา อย่าขอโทษเลยคืออยากขอโทษโยมแม่ก่อนเลย เพราะว่าโยมแม่เสียใจกับพระเยอะมาก แล้วก็ทำให้โยมแม่ต้องลำบากมาก เดินทางไปเยี่ยมคอยส่งเสีย ทั้งทั้งที่เราเป็นคนทำตัวของเราเอง ไม่เชื่อฟังคำท่าน แล้วก็โยมพ่ออีกท่าน ก็ทำให้ท่านได้อับอาย คือว่าข่าวมันออก ข่าวมันออกแล้วท่านทำงานอยู่ ท่านเป็นหัวหน้าคุมคนงานอยู่ คนก็รู้คนในโรงงานก็รู้ก็เลยไปถามท่าน เราก็อยากขอโทษท่าน แล้วก็อยากขอโทษลูก ที่ว่าพ่อไม่เคยได้เลี้ยงดูลูกจนโตเลย แต่ก็ขอโทษด้วยการที่ว่าออกมาทำตรงนี้ให้ดีที่สุด แล้วก็จะใช้เวลากับลูกให้ได้มากที่สุด
แม่พระโอกล่าวอีกว่า แม่ไปเยี่ยมเจอท่านมองแม่ยกหูโทรศัพท์ รีบสวัสดีเสร็จ ก็รีบพูดว่าโอจะกลับบ้านแล้วนะครับ อะไรอย่างนี้วันที่7 …วันที่7นี้เลยเหรอลูก ก็คุยกันอย่างนี้ท่านก็บอกว่าวันที่7กรกฎานี้ท่านกลับบ้านแน่นอน แม่ฝันอยู่นะว่าท่านไปบวชแค่เจ็ดวันท่านมาบอก แม่ก็เลยว่าไม่คุยมากเลยวันนั้นเพราะท่านพูดเลย ว่าโอจะบวชน้าแม่ครับ แม่รีบไปหาวัดให้โอปวดโอตั้งใจจะบวชอย่างแรงเลย โอจะเอาพรรษา โอจะเอาพรรษานี้เลย โอจะเอาพรรษานี้เลย พูดย้ำอยู่อย่างนี้ แม่ทั้งดีใจทั้งตั้งสติไม่อยู่เลยแม่ก็บอกท่านว่าแม่ร้องไห้นะคะ ท่านแม่อนุโมทนาแต่แม่ดีใจมากและแม่แต่คิดว่าแม่เนี่ยเงินแม่ไม่มี จะให้แม่ทำยังไงแม่ไม่รู้จะพาท่านไปบวชที่ไหนแม่พูดแค่นั้นเอง เห็นไปรอแต่ไม่คิดว่าท่านจะออกเร็วออกไม่ถึง 10 โมงเช้าวันนั้น ก็จำลูกไม่ได้เพราะว่าความที่เราคิดมาก มันหมกมุ่นมันนอนไม่หลับ มันนอนไม่หลับมาตั้งหลายคืนแล้ว จำลูกไม่ได้ตาฟาง จนเขาเดินออกมาหน่อยนึง เขามองหา ก็คิดว่าลูกใช่แล้วก็เลยเรียกเขา กลัวเค้างงทางตรงหน้าเรือนจำ ก็บอกแม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่ลูกแม่มารับแล้ว เค้าก็เลยเดินมาหา มาหาแล้วมากราบ แม่ก็เลยบอกแม่มารับลูกแล้ว ลูกเป็นคนใหม่แล้วนะลูก ลูกมีชีวิตใหม่แล้วนะลูก อะไรๆแม่ก็พูดแต่สิ่งดีๆ วันนั้นเมื่อเกือบ5ปีที่ผ่านมา แม่กดทีวีไม่รู้ว่าช่องไหนแม่จำไม่ได้ เห็นหลวงพี่น้ำฝน ท่านนั่งพูดอะไรเยอะเลย แล้วท่านสรุปตอนท้าย ท่านบอกว่า ที่ไหนเขาไม่ให้โอกาส ที่ลูกของญาติโยมมีปัญหาแบบนี้ ที่อยู่ในเรือนขัง เรือนอะไร ออกมาแล้วสังคมไม่ให้โอกาส สังคมไม่รับ วัดที่ไหนไม่รับบวชรับอะไร ให้มาหาหลวงพี่น้ำฝนที่วัดไผ่ล้อม อำเภอเมืองจังหวัดนครปฐม
พระโอได้กล่าวว่า เวลาที่เราเสียไป 20 ปีนี่ ถือว่ามีค่ามากเลยนะ สำหรับชีวิตคนๆหนึ่ง เพราะว่า 20 ปีที่ผ่านมาท่าพระไม่ติดคุก พระอาจจะดีแบบว่า มีครอบครัวที่ดี มีครอบครัวที่อบอุ่นหรือว่าทำงานทำการจนร่ำรวย มีเงินทองอะไรอย่างนี้แล้วก็ได้ แต่ว่าพอมาเสียเวลาไป 20 ปีเราออกมาทีนี้ เรามามองเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เรามองเห็นคนรอบข้างที่เที่ยวมาด้วยกัน ที่ไม่ได้โดนจับ เค้าก็ทำงานทำการที่ดีมีครอบครัวลูก2คนลูก3คนโตกันหมดแล้วลูก ตัวเองก็อยู่สบายแล้ว มีทั้งบ้าน มีทั้งรถ ก็คือความอิ่มตัวแล้ว แต่มามองดูตัวเราตอนนี้ เราไม่มีอะไรเลย เราก็ต้องมาเริ่มจากติดลบ ไม่ใช่เริ่มนับจากศูนย์นะ เริ่มจากติดลบไต่เต้าขึ้นมาเป็นศูนย์ถึงจะนับหนึ่งเหมือนเขาได้ ส่วนความฝันของพระอยากมีบ้านหลังใหม่ให้โยมแม่ อยากให้โยมพ่อกลับมาอยู่กับโยมแม่ แต่ว่าข้อนี้คงเป็นไปได้ยาก ก็คือท่าพระอยู่อย่างนี้ โยมแม่ก็บอกว่าโยมแม่สบายใจมากแล้วไม่ต้องทำอะไรเลย โยมพ่อท่านก็ว่าท่านสบายใจมาก ไม่ต้องขวนขวายดิ้นรนหาเงินหาทองมาให้ท่าน เพียงแต่เราทำหน้าที่ตรงนี้ เราอยู่แบบนี้ท่านมีความสุขมากแล้ว ท่านสบายใจท่านบอกพระมาอย่างนี้ พระโอยังกล่าวต่ออีกว่า ทำไมถึงไม่อยู่วัดไผ่ล้อมได้ เพราะว่าวันแรกที่พระออกมาเลย ตอนแรกเลยโยมแม่พามาไหว้พระที่วัดไผ่ล้อม แล้วโยมแม่ท่านก็เคยดูรายการของหลวงพ่อน้ำฝน พระเองก็พอจะรู้มาบ้างเกี่ยวกับรายการของหลวงพ่อน้ำฝน เรื่องที่ว่าท่านเคยพูดไว้ว่าสังคมภายนอก ทักทายไม่ยอมรับคนติดคุกมาก็ให้มาหาหลวงพ่อ โยมแม่ก็เลยพามาหาหลวงพ่อก็เลยกลับตัวขอมาบรรพชา ขอมาเป็นลูกติดอยู่ที่นี่ฝากตัวมาเป็นปวารณาตัวอยู่ที่นี่เลย ท่านก็ยินดีต้อนรับ ท่านก็เป็นเจ้าภาพจัดงานบวชให้ ก็ต้องกราบขอขอบพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อน้ำฝนที่ท่านได้ให้โอกาสพระ ก็เห็นหลวงพ่อท่านให้โอกาสหลายคนหลายรูปเหมือนกันนะ อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นจะยอมรับ จัดไปบัตรตามที่หลวงพ่อท่านสอน ที่หลวงพ่อท่านแนะนำหรือเปล่า หลวงพ่อน้ำฝนท่านเป็นนักพัฒนาเป็นพระตัวอย่างที่ดีรูปหนึ่งเลย
ซึ่งแม่พระโอ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า รู้สึกว่าประมาณบ่ายสามโมงกว่าที่มาที่นี่มาที่นี่ก็พามาไหว้พระนะคะ ก็ยังไม่คิดว่าจะเจอหลวงพ่อ ไม่คิดว่าจะเจอค่ะ พอไหว้พระว่าอะไรเสร็จแม่ก็ไปขอพรหลวงปู่พูล แม่ไปนั่งอธิฐานจิตนานมาก ขอพรหลวงปู่พูลว่า ขอให้ลูกของแม่ที่ตั้งใจจะบวชเนี่ยได้อยู่ ในร่มกาสาวพัสตร์ที่วัดนี้ด้วยเถอะ อย่างที่แม่ตั้งใจ แม่ขอพรท่านให้ท่านอย่างนั้นอย่างนี้อะไรอย่างนี้อะไรแม่ก็พูดแต่ในสิ่งที่ดีๆ พอดีญาติโยมหลวงพ่อน้ำฝนเยอะมากวันนั้น พอทิ้งช่วงมีเวลาปุ๊กแม่ก็เลยเข้าไปกราบท่าน แต่แม่ยัง ตอนนั้นที่เห็นในจอท่านจะอ้วนกว่านี้ค่ะพอท่านผอมลงก็เลยไม่รู้ว่าจะใช่ท่านหรือเปล่าแต่พอกลับไงหน้าขึ้นมาเลขาท่านบอกให้ลูกยืนคิดว่ามาเจอมือ เข้าให้แบมือแม่ก็แบ ท่านก็เจิมมือให้เสร็จแม่ก็ไปนั่งมองค่ะนั่งมองท่าน นั่งมองท่านใช่ไหมน้อแม่ก็เลยสะกิดถามอาองค์พระว่าใช่หลวงพ่อน้องฝนมั้ย พอดีอาของพระเขาจะมาที่นี่บ่อยมากเขาบอกว่าใช่ตอนนี้ท่านพร้อมแม่ก็เลยรีบเข้าไปกราบท่านเลย พาพระเข้าไปกราบด้วยแล้วก็พระท่านก็ถามมีอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ แม่ก็เล่าให้ท่านฟังเลย ว่าเพิ่งกลับมาวันนี้ท่านก็ถามอะไรติดกี่ปีเนี่ย แม่ก็บอก 17 บริบูรณ์กับอีก 25 วันแม่นับ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2545 แม่น้ำมาตลอดท่านก็บอกว่า ถ้าเขาจะบวชที่นี่เดี๋ยวหลวงพ่อเป็นเจ้าภาพให้เลย ไม่ต้องเสียทุกบาททุกสตางค์ อยากบอกว่าขอบพระคุณท่านมากถ้าให้อะไรทำได้จะให้ท่านถ้าท่านขออะไร ตัวโยมแม่โยมแม่ให้ได้โยมแม่จะให้ค่ะ เค้าว่าโยมแม่ไม่รู้จะตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อน้ำฝนยังไง แต่โยมแม่บอกตรงตรงอย่างไม่อายโยมแม่ใส่ซองให้หลวงพ่อแค่ 5,000 เองค่ะ หลวงพ่อน้ำฝนไม่รับด้วย ลงพอน้ำฝนบอกว่าให้ใส่ในบาตรอันนั้น โยมแม่ก็ดีใจมาก ถ้าจะให้โยมแม่กลับไม่เงยหน้าโยมแม่ก็ยอมกราบ แต่ท่านไม่ยอมให้กลับแล้วค่ะ
ศาสนาให้ข้อคิดอะไรบ้าง!!!
ทำให้เราเข้าใจโลกมากขึ้นคนละมุมมองกันเลยกลับที่ว่าตอนพระยังเป็นฆราวาสอยู่ จิตใจพระดีขึ้นมากเลยรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ว่าอยู่ข้างนอก อบอุ่นมันคนละอบอุ่นกันตอนที่เราอยู่กับเพื่อน นี่มันอบอุ่นแบบอิ่มเอม รู้สึกบอกไม่ถูก ฝากถึงคนที่จะเสพคนที่จะเริ่มเสพหรือกำลังเสพอยู่ ขอแนะนำว่าตอนนี้ท่านอาจจะยังมีเศษ ท่านอาจจะไม่ต้องซื้อหรือว่าท่านอาจจะพอมีเงินอยู่ แต่ถ้าทำเสร็จไปเรื่อยเรื่อยวันไหนที่เงินท่านหมด หรือวันไหนที่ยาท่านหายาก ถ้าจะเข้าสู่วงจรอุบาทด้วยการค้าทันที เปิดที่พักเคยเป็นมาก่อน เริ่มจากเสพแล้วก็จะไปเป็นผู้ค้าเพราะว่าต้องการเงิน ที่จะมาซื้อเศษต้องการครอบครองยา เพื่อที่จะได้ว่าไม่ต้องซื้อเสพ
ชีวิตคนเราเริ่มใหม่ได้เสมอ
โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ได้กล่าวว่า สืบเนื่องจากโยมแม่ของพระโอท่านได้ดูรายการ “คิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน”ซึ่งออกอากาศตามโทรทัศน์แล้วก็อาจกลับมาก็พูดไว้ว่า วัดไผ่ล้อมเนี่ยให้โอกาส สำหรับคนที่เคยผิดพลาดในชีวิตแล้วบางทีเนี่ย จะไปทำอะไรๆจะติดต่องานอะไรเนี่ยมันก็ลำบากมันก็เปรียบเสมือน เค้าเรียกว่า “สังคมรังเกียจ”แต่วัดไผ่ล้อมนั้นยินดีแล้วก็ต้อนรับท่านเหล่านั้นซึ่งคิดว่าเราควรให้โอกาส คำว่าการเริ่มชีวิตใหม่ มันก็เปรียบเสมือนผ้าขาวที่เหมือนกับเด็ก ซึ่งผ่านการคอดออกมาแล้วมันมีความบริสุทธิ์ตรงนั้น เมื่อเราผิดพลาดไปแล้ว และได้รับผลกรรมของการกระทำนั้นแล้วเราเดินหน้าออกมา แล้วเราก็ตั้งสัจจะสิครับเราจะมุ่งมั่นแต่ “ขยันซื่อสัตย์ อดทน แล้วก็รู้บุญคุณคน”รับรองได้ว่าคุณจะไม่มีการมาทำชั่วทำเลวอย่างแน่นอน การดำเนินชีวิต ทุกคนดำเนินชีวิตผิดพลาดมาได้ แล้วไม่ปรับปรุงแก้ไขผลลัพธ์มันก็คือ ได้ความทุกข์นั้นต่อไป ค้นดำเนินชีวิตมาแล้วก็เกิดข้อผิดพลาดแล้วก็นำมาปรับปรุงแก้ไขคนคนนั้น ก็จะได้รับ ความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปเพราะฉะนั้น อย่างที่บอกนะครับแล้วก็คนเราเนี่ยต้องให้โอกาสแล้วก็เห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นความคิดสติปัญญาคนเราไม่เหมือนกัน จะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเราทำ จะสูงจะต่ำก็อยู่ที่เราทำตัว เพราะฉะนั้นถ้าเราทำตัวไม่ดีผลลัพธ์พระพุทธเจ้าก็บอกอยู่แล้วว่ามันจะต้องได้รับกรรม ทำผลดีมันช้าหน่อยแต่สิ่งที่ได้รับมันมีความสุขและหอมหวานที่สุดนั่นเอง คือโครงการบวชพระฟรีที่นี่นะ เป็นโครงการที่ทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
คืออย่างน้อยน้อยก็ให้รำลึกนึกถึง พระมหากรุณาที่คุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยนั่นเอง เราในฐานะคณะสงฆ์ก็ทำได้คือการจัดงานบุญที่ยิ่งใหญ่ ก็คือการบวชพระ ปีๆ นึงจะมีพระบวชประมาณ 60 ลูก 50 ลูกบ้าง 70 ลูกบ้างแล้วแต่ ถือว่าเป็นบุญมหาศาลและด้วยความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นเอง คือก็อยากจะฝากบอกให้ทุกคนที่ต้องผ่านเรื่องทั้งดีและทางร้ายมาหมดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครไม่ว่าจะเป็นคุณโยม เป็นตัวอาตมาภาพเองหรือใครก็แล้วแต่จะต้องมี การดำเนินชีวิตจะต้องมีอุปสรรคแล้วก็ความสุข มีอุปสรรคเราก็ต้องปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนที่เราผิดพลาดไปในการทำถ้าเราเริ่มจากการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตามหลักภายใต้ของเหตุผล รับรองได้เลยว่าสิ่งที่โยมจะดำเนินชีวิต ความผิดพลาดมันจะน้อยที่สุดส่วนใหญ่แล้วคนจะบันดาลโทสะก็คือ การคิด ไม่คิดก่อนทำ จึงกลับกลายเป็นไปทำก่อนคิดนั่นเอง เพราะฉะนั้นหลักนี้วัดไผ่ล้อมจะสอนเสมอ ทุกคนมีความผิดพลาดนั้น แต่เรานำมาปรับปรุงแก้ไข อย่าเข้าข้างตัวเอง นั่นเอง และจะให้ท่านดำเนินชีวิต ไปอย่างมีความสุข ยามมีลมหายใจอยู่อย่างแน่นอน (พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ให้คติธรรมไว้)
“ชีวิตที่ติดบ่วงกรรม ยังมีแสงสว่างแห่งธรรมที่นำทาง”