การใช้วาจา เหยียดหยามผู้อื่น ย่อมสะท้อนกลับหาตัว เช่น พุทธองค์กล่าวไว้ เราให้สิ่งของคนอื่น เขาไม่รับ สิ่งของนั้นย่อมกลับเป็นของเรา อยู่ดี
พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน จากเรื่องราวต่าง ๆ ที่ปรากฏผ่านหน้าสื่อต่าง ๆ เมื่อหลายวันมานี้ ดังที่ทุกท่านได้ทราบ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา อาตมามอบอํานาจให้ทนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายความและไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม มาที่ศาลจังหวัดนครปฐม ยื่นฟ้องคดีอาญา ข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถึงบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวข้อความอันเป็นการหมิ่นประมาท และถือเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา เป็นการดูหมิ่น ดูแคลน และเหยียดหยามว่าเป็นผู้เลี้ยงชีพโดยมิชอบ ใช้เดรฉานวิชา ไม่สมกับการเป็นพระ
ที่อาตมาตัดสินใจแบบนี้นั้น อาตมาไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสู้กลับ แก้แค้นหรืออย่างใด มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง ทางผู้รู้กฎหมายเองก็ให้คำแนะนำว่าควรจะฟ้องร้อง แต่อาตมาก็ “เบรก” อยู่ตลอด ด้วยไม่อยากให้เป็นข้อพิพาทอะไร แต่ครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด ซึ่งอาตมาเห็นว่าควรจะต้องดำเนินการทางกฎหมาย ให้เป็นแบบอย่างและบรรทัดฐาน และอาตมาถือว่าเป็นการใช้สิทธิปกป้องตนเอง และปกป้องพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าใครจะพูดจะอะไรอย่างไรก็ได้โดยไม่เกรงใจ ไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อบุคคลอื่น ผลกระทบ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และแท้ที่จริงแล้ว ทุกคนมีสิทธิจะปกป้องตนเองตามที่กฎหมายกำหนด กฎหมายหมิ่นประมาทมีเพื่อสิ่งนี้ และอาตมาก็ตัดสินใจใช้สิทธินี้ตามกฎหมาย ซึ่งอาตมามีสิทธิเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปทุกคน เป็นการยืนยันสิทธิที่อาตมามี และยืนยันว่าการพูดใด ๆ นั้นมีขอบเขต การพูดอะไรโดยไม่มีขอบเขตนั้นเป็นอันตราย อาตมาก็ขอยืนยันในหลักการนี้
จะกล่าวว่าอาตมาเป็นพระสายเวทย์และไสยศาสตร์ทําคุณไสย และเป็นพระไม่ดี ปลุกเสกแมสมียันต์เป็นการทําคุณไสย เป็นพระผู้ใช้เดรัจฉานวิชา เป็นพระที่ไม่น่าเลื่อมใส เป็นพระชอบโหนกระแสหรืออยากดัง ชอบปลุกเสกเลขยันต์ ชอบปลุกเสกกระเป๋าแบรนด์เนม ทําให้คนงมงาย เป็นพระวินยาธิการต๊อกต๋อย ตรงนี้อาตมาไม่ได้ติดใจหรือคิดจะแก้แค้นแก้ตัวอะไร แต่ผู้รู้กฎหมาย ทางทนายความก็เห็นว่าสมควรดำเนินการ เพราะเขาถือว่าเป็นการดูหมิ่นดูแคลน และเป็นการดูหมิ่นอย่างรุนแรง อาตมาก็ยินยอมและมอบอำนาจให้ทางทนายความเขาไปดำเนินการเพื่อให้เป็นแบบอย่างบรรทัดฐาน ว่าจะกล่าวร้ายอะไรโดยไม่รับผิดชอบเลยนั้นไม่ได้ การจัดพิธีต่าง ๆ ก็ไม่มีการเรียกรับบริจาคเรี่ยไรรีดไถ และทั้งหมดนี้ก็ปฏิบัติไปตามแบบแผนที่มีมาอย่างยาวนาน คาถาอาคมที่ใช้ก็เป็นพุทธคุณทั้งสิ้น ขอให้ไปดูตัวบทหรืออ่านยันต์อะไรได้ ไม่ได้เป็นไสยเวทมนต์ดำอะไร อาตมารับรองได้ และรายได้ทั้งหมดที่ได้จากพิธีกรรม วัตถุมงคลต่าง ๆ ก็ไม่ได้เอาไว้ใช้ส่วนตัว ก็นำเข้าบำรุงวัด บำรุงพุทธศาสนา ทำสาธารณกุศลต่าง ๆ ซึ่งรวมกันแล้วเป็นหลักหลายล้านบาท ก็นำไปออกดอกออกผลเป็นสิ่งเหล่านี้ ส่วนผู้เข้าพิธีนั้นก็เข้ามาด้วยจิตศรัทธา อาตมาไม่ได้ไปชักจูงหรือหลอกลวงใครมา เมื่อทำแล้วเขาก็ได้ผลดีไปตามจิตศรัทธาของเขาเหล่านั้น และอาตมาก็ย้ำอยู่ตลอดว่าการทั้งหมดนี้ขอให้อย่าได้หลงงมงาย สิ่งใด ๆ ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นเกิดจากจิตศรัทธา และคุณธรรมจริยธรรมของเขาเหล่านั้น ซึ่งเรื่องนี้หลวงพ่อพูลท่านก็ได้สอนมาตลอด
อันนี้แหละคือโอษฐภัย หรือภัยที่มาจากวาจา วาจาของคนเรานั้นมีอานุภาพมากเสียยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ จะบันดาลในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ วาจาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นทั้งดอกไม้ และอาวุธ
ตเมว วาจํ ภาเสยฺย ยายตฺตานํ น ตาปเย
ปเร จ น วิหึเสยฺย สา เว วาจา สุภาสิตา.
บุคคลพึงกล่าววาจาที่ไม่เป็นเหตุยังตนให้เดือดร้อน และไม่เป็นเหตุเบียดเบียนผู้อื่น วาจานั้นแล เป็นสุภาษิต
คำพูดที่ดี หรือ สุภาษิตคืออะไร ก็คือการพูดที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อนด้วย และเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วย ความเบียดเบียนนั้นคืออะไร หมายถึง ทำให้เดือดร้อน การไม่เบียดเบียนผู้อื่น คือ การไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน คำพูดที่เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เรื่องเจ็บช้ำน้ำใจนั้นไม่ว่า แต่ที่หนักกว่านั้นคือการทำให้ผู้อื่นเข้าใจคลาดเคลื่อน เข้าใจผิด ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึงข้อเท็จจริง อันนี้แหละคือการเบียดเบียนอันใหญ่หลวง และมีผลกระทบมาก ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกเบียดเบียนนั้น
การพูดทุกอย่างมีความรับผิดชอบตามมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ดี หรือไม่ดี เหมือนหว่านพืชเช่นไร ได้ผลเช่นนั้น เมล็ดดี เมล็ดไม่ดี ก็ย่อมเกิดผลต่างกันไปให้เห็น ขอเจริญพร