เปลี่ยนผ้าครอง พลังความกตัญญูที่ยังอยู่ถึงปัจจุบัน
เจริญพรญาติโยมผู้อ่านทุกท่าน จุดไฟในใจคนฉบับนี้ อาตมาจะเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล พระอมตเถราจารย์และปูชะนียาจารย์ของอาตมาได้ละสังขาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ตรงกับวันวิสาขบูชาในทางจันทรคติ
วันนั้นเป็นวันไหว้ครูบูรพาจารย์ของทางวัดด้วย เพราะว่าหลวงพ่อพูลท่านถือเป็นหลักว่าจะกระทำพิธีไหว้ครูในวันวิสาขบูชา เพราะวันวิสาขบูชาเป็นวันที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทรงเป็นบรมครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ควรจะถือวันพระพุทธนี้เป็นโอกาสในการไหว้ครูประจำปี พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลได้กระทำเช่นนี้มาทุกปี จนกระทั่งในปีสุดท้ายของชีวิต คือ ปี 2548 พระเดชพระคุณท่านมีอาการตามสภาพสังขารที่โรยราตามอายุ แม้จะต้องเข้าออกโรงพยาบาล แต่อาการท่านก็ดีขึ้นจนเป็นที่วางใจแก่คณะแพทย์ แต่อาการที่ว่าก็ไม่สม่ำเสมอจนท้ายที่สุด ก่อนหน้าพิธีไหว้ครูเพียงหนึ่งวัน พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลต้องได้เข้ารับการรักษาอีกครั้งที่โรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งอยู่ห่างจากวัดไผ่ล้อมไปไม่ไกลด้วยอาการไม่น่าวางใจ แต่ก็น่าอัศจรรย์ที่อาการของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลกลับกระเตื้องขึ้นเมื่อถึงเวลาประกอบพิธีที่วัดไผ่ล้อม มีอาการสงบนิ่งจนเมื่อพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ได้เสร็จสิ้นลงในช่วงบ่าย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลก็ได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเวลา 14.55 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2548 สิริอายุได้ 93 ปี
ภายหลังพิธีบำเพ็ญกุศลสรีระสังขารครบ 100 วัน คณะศิษยานุศิษย์ได้เปิดหีบบรรจุสรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล พบว่ายังคงมีสภาพที่สมบูรณ์ คล้ายกับคนนอนหลับซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ผิดกับสรีระของผู้จากไปในเวลาร้อยวันโดยทั่วไป เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้ที่เห็นรวมถึงอาตมาด้วยในวันนั้น คณะศิษยานุศิษย์ทั้งหมดจึงตัดสินใจเก็บรักษาสรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลไว้สักการะบูชาภายในโลงแก้ว เสมือนว่าพระเดชพระคุณท่านยังคงอยู่กับวัดไผ่ล้อม แม้ว่าดวงจิตของหลวงพ่อจะออกเดินทางไปสู่ภพภูมิหรือสภาวะอันดีงามแล้วโดยขาดจากร่างกายสังขารเดิม แต่กายสังขารที่ดวงจิตของหลวงพ่อพูลเคยอยู่นั้นก็คืออนุสรณ์ เป็นเจติยะเป็นอนุสรณ์ของหลวงพ่อพูลที่ศิษยานุศิษย์ทุกคนใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตั้งแต่ประดิษฐานสรีระสังขารที่ศาลาการเปรียญ จนถึงวิหารทองคำหลังใหม่ที่สร้างขึ้นสำหรับประดิษฐานสรีระสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลมีรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลบนหลังหนุมาน
เป็นปกติแต่ครั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลยังมีชีวิตอยู่ พอถึงวาระสำคัญอย่างวันสงกรานต์ ก็จะทำพิธีสรงน้ำพระ สรงน้ำพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลเป็นการบูชาเป็นประจำสม่ำเสมอทุกปี จนเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลละสังขารลงแล้ว คณะศิษยานุศิษย์ก็ถือปฏิบัติอย่างครั้งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลยังมีชีวิตอยู่ ประกอบกับการดูแลสภาพของสรีระสังขารควรกระทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สะอาด ไม่ทำให้สรีระสังขารเกิดความเสียหายจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงนำสรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลลงมาทำความสะอาดในทุกปี เหตุนี้เองจึงถือโอกาสเปลี่ยนผ้าครอง คือ ไตรจีวร เสมือนว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ โอกาสเช่นนี้เป็นโอกาสเดียวที่ศิษยานุศิษย์จะได้ใกล้ชิดกับสรีระสังขารของหลวงพ่อพูลอย่างมากที่สุด จึงมีศิษยานุศิษย์มาร่วมพิธีกันมาก อาตมาเห็นว่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายต้องการมีส่วนร่วมในการนี้ จึงอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการทำความสะอาดสรีระสังขารหลวงพ่อ โดยให้สวมถุงมือ ถือสำลีชุบน้ำยาทำความสะอาด เช็ดสรีระสังขารตามความเหมาะสม และทุกคนที่มาร่วมพิธีนี้สามารถเข้าร่วมการทำความสะอาดสรีระสังขารนี้ได้ทั้งหมด ไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นโยมวีไอพีอะไรจึงจะได้ทำ ศิษยานุศิษย์บางคนก็มีจิตศรัทธา ปรารถนาความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ก็ลงไปกราบสักการะที่เบื้องเท้าท่าน ให้เท้าท่านจรดลงบนศีรษะของตน เรียกว่า ลงกระหม่อม คนอื่น ๆ ก็ทำตามกัน ก็เป็นประเพณีดังนี้มาสิบกว่าปีแล้ว เมื่อเสร็จสิ้นการทำความสะอาดทั้งหมด จึงนำบรรจุลงในโลงแก้ว เชิญขึ้นประดิษฐานเช่นเดิม กระทำเช่นนี้ปีละครั้ง
ก็จะเห็นได้ว่า สรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล เป็นที่ตั้งของความศรัทธาของศิษยานุศิษย์ ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส และคณะศิษยานุศิษย์ได้พร้อมใจกันปฏิบัติต่อสรีระสังขารท่านเสมอว่าท่านยังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่าดวงจิตของท่านจะพ้นไปจากสรีระสังขารนี้แล้ว ไปสู่สภาพที่ดีกว่าก็ตาม
และสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สรีระสังขารนี้เป็นที่ตั้งแห่งธรรมสังเวช คือสภาพปกติของมนุษย์ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อตายแล้วก็เป็นเพียงกายสังขารอย่างที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้า เป็นกายสังขารที่ไร้ลมหายใจ เป็นสิ่งที่ทิ้งไว้แก่โลกคู่กับอีกสิ่งหนึ่ง คือ ความ “ชั่วดี” ที่ประดับไว้ในโลกา” และความศรัทธาที่แสดงออกมาผ่านการปฏิบัติต่อสรีระสังขารของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล ก็คือภาพสะท้อนความ “ดี” ที่ “ประดับไว้ในโลกา” เพราะผู้คนยังคงปรารถนาจะได้เห็น ได้สักการะ ได้บูชา ได้มีส่วนร่วม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ซึ่งเป็นผลแห่งความดีที่ท่านกระทำมาครั้งยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่า ท่านจากไปอย่างที่มีคนรักท่าน เคารพท่าน ศรัทธาท่าน เมื่อท่านจากไปแล้ว ผู้คนก็ยังคิดถึงหลวงพ่อ ยังคงระลึกถึงอยู่เสมอ ขอเจริญพร