สมุทรสาคร “สาธิต” ยกสมุทรสาครเป็นโมเดล ชี้การตรวจเชิงรุกต้องเดินหน้าค้นหาคนติดเชื้อ
เมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. ของวันที่ 13 มกราคม 2564 นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์และคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์ห่วงใยคนสาคร แห่งที่ 2 วัดโกรกกราก จ.สมุทรสาคร โดยมีนายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายแพทย์นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับ ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมมอบหนังสือรับรองกักตัว เพื่อยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวได้รับการกักตัวเพื่อควบคุมโรคไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID 19)
ที่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร 02 (วัดโกรกกราก) จังหวัดสมุทรสาคร ครบตามเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร และส่งตัวแรงงานข้ามชาติจำนวน 28 คน ให้กลับออกไปใช้ชีวิต พร้อมทำงานได้ตามปกติอีกด้วย ในโอกาสนี้ยังได้รับเมตตาคุณจาก พระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดโกรกกราก มาประพรมน้ำมนต์สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่แรงงานข้ามชาติทุกคนที่ผ่านทุกข์ผ่านโศกปลอดโรคปลอดภัยกลับออกไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยแรงงานที่ได้รับการส่งตัวกลับในครั้งนี้ ทางนายจ้างจากสถานประกอบการต่างๆ ก็ได้ส่งรถมาคอยรับเพื่อนำไปตรวจหาเชื้อในร่างกายซ้ำอีกครั้ง แล้วก็ส่งเข้าหอพักเพื่อกักตัวต่ออีก 14 วัน ก่อนจะให้กลับเข้าทำงานตามปกติ
นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าจังหวัดสมุทรสาคร เป็นจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดระลอก 2 หนักกว่าที่อื่น ตั้งแต่เริ่มเป็นศูนย์กลางในการระบาดรอบใหม่ มีผู้ติดเชื้อทั้งที่เป็นแรงงานต่างด้าว และคนไทย ดังนั้นจังหวัดสมุทรสาครจึงนับเป็นโมเดลที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งที่พบเชื้อในแรงงานต่างด้าวและคนไทย รวมถึงการวางระบบในการตรวจหาเชื้อทั้งเชิงรุกและในโรงพยาบาล การแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อ การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงในระดับต่างๆ การนำเข้าสู่กระบวนการรักษา การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม การเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลหลัก และสุดท้ายคือการดูแลรักษาจนส่งตัวกลับบ้านได้ นายสาธิตฯ กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์นี้ ทำให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของการทำงานร่วมกัน โดยต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์จากทุกจังหวัด บุคลากรของทางจังหวัด ทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งก็ถือว่าทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อที่มีอัตราเพิ่มที่ลดลงด้วย และระบบทั้งหมดมีการจัดการอย่างเป็นระบบแล้ว เพราะฉะนั้นในทุกขั้นตอนตั้งแต่การตรวจเชิงรุก จนเข้าสู่กระบวนการแอดมิด หรือบางคนที่ไม่ต้องแอดมิด ก็มาอยู่ในโรงพยาบาลสนาม และดำเนินการตามขั้นตอนของระบบสาธารณสุข ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ถือเป็นระบบที่ครบถ้วนของดูแลทั้งระบบแล้ว ฉะนั้นถ้าเราสามารถดูแลอาการติดเชื้อหรือโรคระบาดได้ตามนี้ ก็จะสามารถสอบสวนโรคแล้วก็จัดการกับตัวเลขของผู้ติดเชื้อได้ลดลง รวมทั้งกรณีที่มีการติดเชื้อไปยังแรงงานต่างด้าวที่มีจำนวนมาก ในส่วนของระบบการจัดการของทาง สถานประกอบการก็จะช่วยได้เยอะมาก ซึ่งทั้งนี้เรายังคงต้องตรวจเชิงรุกให้มากที่สุด เพราะว่ายังไม่แน่ว่าจะมีผู้ติดเชื้อที่จะไปซ่อนอยู่ในชุมชนหรือในโรงงานมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการค้นหาเชิงรุกต่อไป นี้ เรายังคงต้องทำงานแบบนี้เดินหน้าไปพร้อมกันเพื่อชะลอการติดเชื้อให้ได้เร็วที่สุดขณะที่รอวัคซีน ซึ่งผมก็มั่นใจว่าทีมของประเทศไทยขณะนี้ในทุกจังหวัดสามารถจัดการในกรณีที่มีการระบาดได้ แม้ว่าอาจจะมีการระบาดรอบใหม่เกิดขึ้นได้อีก
ด้านตัวแทนผู้ประกอบการที่มารับแรงงานข้ามชาติกลับนั้น ก็บอกว่า หลังจากที่รับแรงงานทุกคนแล้ว ก็จะต้องนำไปตรวจหาเชื้อในร่างกายอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็จะให้กักตัวอยู่ในห้องพักอีก 14 วัน แล้วทางสถานประกอบการก็จะให้กลับเข้าทำงานเหมือนเดิม
นางสาว อิพิวเว ตัวแทนแรงงานข้ามชาติเปิดใจว่า ตนเองหลังจากที่ทราบว่าติดเชื้อโควิด ทางโรงงานก็ส่งตัวมาเข้ารับการรักษา และกักกันตัวอยู่ที่ศูนย์แห่งนี้ จนครบกำหนดหายเป็นปกติดีแล้ว ซึ่งตนนั้นได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่ภายในศูนย์ฯ เป็นอย่างดี และต้องขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติ ซึ่งก็อยากจะฝากบอกแรงงานข้ามชาติทุกคนว่า หากเรารู้ว่ามีอาการผิดปกติ สงสัยจะติดเชื้อโควิด ก็ต้องรีบไปให้แพทย์ทำการตรวจ จะได้รักษาได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องไม่ปกปิดความจริง และไม่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่น ซึ่งเมื่อรักษาหายแล้วก็จะได้กลับไปทำงานได้ตามปกติ อีกอย่างคือ เราต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการป้องกันตนเอง สวมแมส ล้างมือ และถ้าติดโควิดก็ต้องไม่ไปแพร่เชื้อให้ใคร ต้องเปิดเผยข้อมูล แล้วเข้าสู่กระบวนการรักษา
ณัฎฐนันท์ / ทีมข่าวสมุทรสาคร